Welcome to Our Website

เปิดประเทศ-ศก.โลกฟื้น เงินเฟ้อ พ.ย.64 ขยายตัว 2.71% คาดปีนี้ 0.8-1.2% จับตาโอไมครอนระบาด

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือน พ.ย.64 เพิ่มขึ้น 2.71% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.28% จากเดือนต.ค.64 ตามการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศ ประกอบกับฐานราคาปีที่ผ่านมาอยู่ระดับต่ำ รวมถึงราคาผักสด ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจากช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ เนื้อสุกร อาหารบริโภคในบ้าน-นอกบ้าน และเครื่องประกอบอาหาร ราคาปรับสูงขึ้นตามต้นทุน สำหรับสินค้าสำคัญที่ราคาลดลง อาทิ ข้าวสาร ไก่สด ผลไม้สด เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (น้ำดื่มบริสุทธิ์ กาแฟผงสำเร็จรูป) และเสื้อผ้า ส่วนสินค้าอื่น ๆ ยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่ปกติ สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและกลไกของตลาดในปัจจุบัน

โดยอัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ย.ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน เป็นผลจากสาเหตุที่สำคัญคือ เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว,สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย, การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้มีความต้องการแทงหวย24สินค้าเพิ่มมากขึ้นตามกำลังซื้อของประชาชนที่ปรับตัวดีขึ้น

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เฉลี่ย 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.) อยู่ที่ 1.15% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เดือน พ.ย.64 เพิ่มขึ้น 0.29% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือน ต.ค.64 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ย 11 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 0.23%

 

สำหรับเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.64 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนพ.ย.64 สาเหตุสำคัญมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูง และมีทิศทางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและค่าขนส่ง ส่วนราคาสินค้าในกลุ่มอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องตามความต้องการ ปริมาณผลผลิต ต้นทุนและวัตถุดิบ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในหลากหลายรูปแบบที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม รวมถึงการส่งออกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวซึ่งมีทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการ และกระทบต่อเงินเฟ้อของไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ (Omicron) ที่สร้างความกังวลไปทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2564 จะอยู่ในกรอบ 0.8 – 1.2% (ค่ากลางอยู่ที่ 1.0%) ซึ่งเป็นอัตราที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อไตรมาส 1/64 อยู่ที่ -0.53% ไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 2.36% ไตรมาส 3/64 อยู่ที่ 0.70% และคาดว่าไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 2.44%

ส่วนในปี 2565 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 0.7 – 2.4%(ค่ากลางอยู่ที่ 1.5%) โดยมีสมมติฐานหลักที่สำคัญคือ เศรษฐกิจไทยปี 2565 ขยายตัวได้ในช่วง 3.5 – 4.5% ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ระดับ 63-73 ดอลลาร์/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 31.50 – 33.50 บาท/ดอลลาร์

ขณะที่ทิศทางเงินเฟ้อปี 2565 คาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญจากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว การส่งออกสินค้า และการผลิต รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อของประชาชน นอกจากนี้อุปสงค์ด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวจะส่งผลต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนในตะกร้าเงินเฟ้อค่อนข้างมาก

สำหรับด้านอุปทานที่จะส่งผลบวกต่ออัตราเงินเฟ้อได้แก่ ราคาอาหารสดที่น่าจะยังขยายตัวต่อเนื่อง ตามความต้องการและสภาพอากาศที่กระทบต่อผลผลิต และสินค้าในหมวดอื่น ๆ น่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากต้นทุนการผลิต การขนส่ง และเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่วนอุปทานด้านน้ำมันดิบ คาดว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่จะทยอยปรับกำลังการผลิตเพื่อให้สมดุลกับความต้องการ โดยปัจจัยและแนวโน้มเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงและมีโอกาสผันผวน รวมถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยอาจจะได้รับแรงกดดันจากโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และราคาสินค้าเกษตรที่มีความผันผวน รวมถึงมาตรการของภาครัฐ ซึ่งจะกดดันให้เงินเฟ้อของไทยขยายตัวได้อย่างจำกัด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้ ต้องดูสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ว่า จะเป็นไปในทิศทางใด เราจะติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะโควิดจะมีผลต่อเศรษฐกิจในปีหน้า ซึ่งก็จะส่งผลมาถึงเงินเฟ้อในปีหน้าด้วย